ในปัจจุบันเนื่องจากสภาพนิเวศวิทยาเปลี่ยนแปลงไปในชุมชนเมืองจึงไม่มีหิ่งห้อยให้ได้เห็น กรุงเทพฯในอดีตบริเวณปากคลองบางลำพู เคยมีหิ่งห้อยเป็นจำนวนมากแต่ก็หมดไปเมื่อวิถีชีวิตของผู้คนแถบนั้นเปลี่ยนไป เมื่อพ.ศ.๒๕๔๒ กรมศิลปากรร่วมกับกรุงเทพมหานครได้บูรณะป้อมพระสุเมรและบริเวณจัดสร้างเป็นสวนสาธารณะสันติชัยปราการ และสร้างพระที่นั่งสันติชัยปราการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าพักผ่อนหย่อนใจน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล ได้มีการปลูกต้นลำพู และเลี้ยงหิ่งห้อย เพื่ออนุรักษ์และขยายพันธุ์เป็นการฟื้นฟูวิถีชีวิตบางลำพูในอดีตด้วย หรือประมาณ 2000 ปีมาแล้วคนจีนโบราณและชาวบราซิลในอดีตจะจับหิ่งห้อยใส่ขวดแก้ว เพื่อใช้แทนตะเกียง ต้องใช้หิ่งห้อยตัวเต็มที่เพียง 6 ตัวให้แสงสว่างก็เพียงพอสำหรับอ่านหนังสือในเวลากลางคืนได้ คนญี่ปุ่นก็นิยมใช้ตะเกียงหิ่งห้อยเช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะได้ทำการแนะนำถึงสถานที่ชมหิ่งห้อย สถานที่พักหรือการเดินทางมีวิธีใดบ้างนั้น จะขอกล่าวในด้านหลักวิชาการพอสังเขปเพื่อให้รู้ถึงลักษณะวงจรชีวิตของเจ้าหิ่งห้อยก่อนเพื่อเวลาไปชมหากท่านได้พา ลูก หลาน หรือผู้ที่เกิดข้อสงสัยกับความมหัศจรรย์ของเจ้าแมลงตัวนี้จะได้ทำการอธิบายได้อย่างชัดเจนราวกับว่าเราเป็นไกด์นำเที่ยวเสียเองหรือนักวิชาการด้านแมลงเสียนี้กะไร โดยที่จะอธิบายได้ดังนี้
ด้านวิชาการ
หิ่งห้อย หรือ ทิ้งถ่วง ( Firefly Glow-wormLighteningbug ) เป็นชื่อเรียก แมลงปีกแข็ง ในวงศ์แลมพายริดี้ ( Lampyridae ) อันดับโคลีออบทร่า (Coleoptera) ทั่วทั้งโลกมีทิ้งถ่วงประมาณ 2,000 ชนิด คำว่า “หิ่งห้อย” นี้ใน พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน อธิบายไว้สั้นๆ ว่า แมลงชนิดหนึ่ง มีแสงเรืองๆ ที่ก้น หิ่งห้อย ยังมีชื่ออื่นๆอีก ได้แก่ แมงแสง หรือ แมงคาเรือง ในภาคอีสาน เรียกว่า แมงทิ้งถ่วง เพราะชอบมาอยู่ที่ต้นทิ้งถ่วงบางทีเรียกว่าหนอนกระสือ หิ่งห้อยในโลกมีมากกว่า 2,๐๐๐ ชนิด กระจายอยู่ในทวีปเอเชียยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือและอเมริกากลาง พบทั้งในพื้นที่ระดับน้ำทะเลและบนภูเขา
นับแต่พุทธศักราช 2540 ถึง 2543 คณะวิจัยตามโครงการในพระราชดำริได้สำเร็จ หิ่งห้อยใน 4 ภาค รวม ๓๕ จังหวัดของไทย พบหิ่งห้อยรวม ๑๐ สกุล ซึ่งคาดว่ามีมากกว่า 100 ชนิด ได้แก่
1. Diaphanes เป็นหิ่งห้อยหายาก ลำตัวยาว 10-15 มม. กว้าง 3.4 มม. ลำตัวค่อนข้างแบน พบในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเขตภูเขาสูงในภาคเหนือ เช่น ที่ดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ พบหิ่งห้อยชนิดนี้ตัวแรกในประเทศไทย เมื่อปี 2481 ที่ห้วยช้าง จังหวัดแพร่
2. Lamprigera เป็นหิ่งห้อยตัวใหญ่ที่สุด พบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคใต้ ตัวผู้มีปีก ตัวเมียลักษณะคล้ายหนอน
3. Lucidina เป็นหิ่งห้อยที่มีสายพันธุ์หายาก ขนาดตัวยาว1.5 ซม. กว้าง 0.4 ซม. ถึงปัจจุบัน มีหิ่งห้อยสกุลนี้เพียง 1 ตัว ที่พิพิธภัณฑ์แมลง กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร ได้มาจากอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ในเมื่อ 13 เมษายน 2511
4. Luciola เป็นหิ่งห้อยสกุลใหญ่ พบมากที่สุดและพบทุกภาคในประเทศไทยตามแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อย คาดว่ามีมากกว่า 90 ชนิด เพศผู้และเพศเมียเต็มวัยมีปีกบินได้ และเรืองแสง โดยปล้องผลิตแสงจะแตกต่างกันไป
5. Pteroptyx พบทั้งในภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตัวเต็มวัยขนาดยาว 6-10 มม.
6. Pyrococlia พบในทุกภาค รูปร่างค่อนข้างแบน คล้ายกระดิ่งคว่ำ สีเหลืองทอง ตัวผู้บินได้ ลำตัวยาว 1.3-1.7 ซม. กว้าง 0.4-0.7 ซม. เพศเมียปีกสั้น บินไม่ได้ ลำตัวยาว 1.8.-2.0 ซม.
7.Pyrophanes หิ่งห้อยขนาดเล็ก ลำตัวยาว 0.6 ซม. กว้าง 0.3 ซม. พบในภาคกลางและภาคตะวันออก
8. Rhagophthalmus ค่อนข้างหายาก พบในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพศเมียคล้ายตัวหนอน ทุกปล้องลำตัวเรืองแสง ตัวผู้มีปีกและไม่มีอวัยวะทำแสง
.jpg)
เจ้าหิ่งห้อยแมลงชนิดนี้เมื่อตัวเต็มวัยเพศผู้มีปีก ส่วนเพศเมียมีทั้งมีปีกและไม่มีปีก บางชนิดก็จะมีปีกสั้นมาก (Brachypterous) ชนิดที่ไม่มีปีกรูปร่างลักษณะคล้ายตัวหนอนซึ่งจะเรียกว่า ทิ้งถ่วง จะกินหอยฝาเดียว ไส้เดือน หนอน กิ้งกือ และแมลงตัวเล็กๆเป็นอาหาร ทิ้งถ่วงมีลักษณะเด่น คือสามารถทำแสงได้ทั้งระยะหนอน ดักแด้ และตัวเต็มวัย ส่วนระยะไข่ทำแสงได้เฉพาะบางชนิดเท่านั้น จากภาพด้านล่างจะอธิบายถึงส่วนต่างๆของร่างกาย
หิ่งห้อยมีอวัยวะทำแสงอยู่บริเวณส่วนท้องด้านล่าง เพศผู้มีอวัยวะทำแสง 2 ปล้อง เพศเมียมี 1 ปล้อง แต่บางชนิดตัวเต็มวัยเพศเมียมีรูปร่างลักษณะคล้ายหนอน มีอวัยวะทำแสงด้านข้างของลำตัว เกือบทุกปล้องแสงของทิ้งถ่วงเกิดจากปฏิกิริยาของสารลูซิเฟอริน (Luciferin) ที่อยู่ในอวัยวะทำแสงกับออกซิเจน มีเอนไซม์ลูซิเฟอเรส (Luciferase) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และมีสารอดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine iphosphate) เป็นตัวให้พลังงานทำให้เกิดแสง ทิ้งถ่วงกระพริบแสงเพื่อการผสมพันธุ์และสื่อสารซึ่งกันและกัน ในกรณีของหิ่งห้อย 90% ของสารเคมีในตัวหิ่งห้อยถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานแสง และ 10% ที่เหลือถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน นั่นหมายความว่า ถ้าเราต้องการจะให้แสงจากหิ่งห้อยร้อนเท่าแสงจากหลอดไฟ เราต้องใช้หิ่งห้อยถึง 1,000 ตัว หิ่งห้อยที่พบเห็นบ่อยมักให้แสงสีเหลือง เขียว เหลืองฟ้า และแดงส้ม หิ่งห้อยที่เราเห็นบินว่อนตามพุ่มไม้ มักเป็นหิ่งห้อยตัวผู้ ส่วนหิ่งห้อยตัวเมียชอบเกาะนิ่งตามกิ่งไม้และใบไม้ดังภาพประกอบ
นักวิทยาศาสตร์พบว่า หิ่งห้อยใช้แสงกะพริบสื่อสารกับเพศตรงกันข้าม เพื่อบอกความพร้อมในการสืบพันธุ์และตำแหน่งที่มันอยู่ โดยตัวผู้กะพริบแสงก่อน หากตัวเมียเห็นแสง เห็นลีลาการกะพริบ หรือเห็นความถี่ในการส่งสัญญาณ และมันพอใจ มันจะส่งสัญญาณตอบกลับเพื่อให้ตัวผู้รู้ และบินไปหามันได้ถูก หิ่งห้อยต่างชนิดกัน มีวิธีการสื่อสารไม่เหมือนกัน เช่น กะพริบแสงเร็วช้าต่างกัน จังหวะการกะพริบแสงยังขึ้นกับอุณหภูมิด้วย เช่น ที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส มันกะพริบนาทีละ 8 ครั้ง เวลาอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 28 องศาเซลเซียส กะพริบ 15 ครั้งต่อนาที เป็นต้น นอกจากนี้ แสงที่เปล่งออกมาก็อาจเปลี่ยนสีได้ตามตำแหน่งที่มันอยู่
หลักเกณฑ์การชมหิ่งห้อย
จากที่กล่าวข้างต้นในเชิงวิชาการพอสังเขปก่อนที่จะทำการไปทัศนศึกษาชมหิ่งห้อยในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วนั้นต้องล่องเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืน แต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ไม่สามารถชมหิ่งห้อยได้หรือเมื่อได้ชมหิ่งห้อยแล้วเกิดความผิดหวังไม่ประทับใจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้านักท่องเที่ยวได้ศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดีก่อนการเดินทางเช่น ในวันหยุดเช่นวันเสาร์-อาทิตย์ก็จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปสถานที่ต่างๆที่ได้รับรู้จากทางสื่อหลากหลายรูปแบบเช่นโทรทัศน์ หนังสือ หรือคำบอกเล่าว่าจะต้องไปที่ใดและสถานที่นั้นคงจะไม่มีจังหัวดใดเกินจังหวัดสมุทรสงครามอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้คนที่ต้องการชมกับจำนวนเรือที่ให้บริการชมหิ่งห้อยมีไม่เพียงพอกับนักท่องเที่ยว ทำให้เมื่อเดินทางไปถึงไม่สามารถหาเรือได้ที่จะชมหิงห้อย เพราะเรือถูกจองหมด หรือ ถ้าได้ไปก็จะเป็นเวลา 3 – 4 ทุ่มขึ้นไป ทำให้ไม่สะดวกโดยเฉพาะนักท่องที่ยวที่ต้องการเดินทางกลับในคืนวันนั้นเลย เพราะฉะนั้นหากเมื่อต้องการเดินทางไปชมหิ่งห้อยควรที่จะตรวจสอบและจองเรือล่วงหน้าจากผู้ให้บริการกันเสียก่อน ดังนั้นการเตรียมตัวที่ดีที่จะล่องเรือชมหิ่งห้อยให้ดูสวยงามและคุ้มค่า มีปัจจัยหลายๆอย่างเป็นส่วนประกอบ ซึ่งขอสรุปเป็นหัวข้อดังนี้
- ช่วงเวลาหรือฤดูกาลที่เหมาะสม โดยปกติแล้วหิ่งห้อยจะมีตลอดทั้งปี แต่จะมากในฤดูร้อน และฤดูฝน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน พฤษภาคม – ตุลาคม
- เลือกช่วงเวลาที่เป็นข้างแรม เนื่องจากแสงของหิ่งห้อยมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นเวลาข้างขึ้น ท้องฟ้าจะสว่าง ทำให้เห็นแสงของหิ่งห้อยไม่ชัดเจน จึงควรเลือกวันที่ท้องฟ้ามืดมิด
- เลือกช่วงเวลาที่น้ำมาก จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้ทะเล น้ำจะขึ้น-ลง อยู่ตลอดเวลา ควรจะ เลือกวันที่น้ำมาก เพราะเรือสามารถเข้าไปใกล้กับต้นลำพูซึ่งหิ่งห้อยเกาะอยู่ ทำให้สามารถเห็นแสงของหิ่งห้อยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
- เลือกผู้ให้บริการ การล่องเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืน เรือจะวิ่งไปตามแม่น้ำและลำคลองที่มืด หิ่งห้อยจะมีอยู่เป็นจุดๆ ในบริเวณที่แตกต่างกัน ถ้าหากผู้ให้บริการไม่มีความชำนาญในเส้นทางและรู้แหล่งที่อยู่ หรือให้บริการในเส้นทางที่สั้นเกินไป ย่อมทำให้นักท่องเที่ยวเห็นหิ่งห้อยได้น้อย ซึ่งควรตรวจสอบระยะทางการล่องเรือชมหิ่งห้อยกับผู้ให้บริการเสียก่อน
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ถ้านักท่องเที่ยวได้ศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวอย่างดีแล้ว การล่องเรือชมหิ่งห้อยที่ ก็จะเกิดความรู้สึกว่าคุ้มค่ากับการเดินทาง กับสิ่งที่เรียกว่า "หิ่งห้อย" ที่กระพริบแสงระยิบระยิบ ส่องประกายความงามยามค่ำคืน
สถานที่ชมหิ่งห้อย
จากการที่ได้ทำการศึกษากับเจ้าหิ่งห้อยแมลงมหัศจรรย์ทั้งในด้านเชิงวิชาการและหลักเกณฑ์การเลือกช่วงเวลา เดือน หรือแม้เวลาข้างขึ้นหรือข้างแรม ว่าควรเป็นช่วงเวลาใดที่จะไม่ทำให้การเดินทางไปชมนั้นเกิดความผิดหวัง ต่อไปคือสถานทีชมหิ่งห้อยว่ามีที่ใดบ้างและนอกจากการได้ชมหิ่งห้อยและยังจะสามารถเก็บเกี่ยวความสุขจากอะไรได้อีกบ้างนอกเหนือจากการชมหิ่งห้อย ไม่ว่าจะเป็น การทำบุญไหว้พระ ชมตลาดน้ำหรือแม้กระทั่งหากมีเวลาพักแรมสักหนึ่งคืนก็จะได้หลีกหนีความจำเจจาการกินข้าวแกงถุงพลาสติก นั่งดูโทรโทศน์ กลับมาเป็นการทำอาหารทานร่วมกันตามวิถีของชาวบ้าน เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่หลายท่านอาจหลงลืมไปบ้างจึงอยากเชิญชวนสำหรับผู้ที่มีเวลามาร่วมกันสร้างกิจกรรมหวลคืนอดีตที่มา หรือเป็นการหลีกหนีความจำเจกับอาหารถุงพลาสติก แต่บางท่านอาจจะคิดว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยซื้อกินก็ได้ในเมื่อเราเสียเงินแล้ว แต่นี้แหละเป็นการเติมเต็มให้กับชีวิตในรูปแบบการดำรงชีวิตแบบไทยๆ ซึ่งที่ขาดการเกื้อหนุนหรือการสามัคคีที่ต่างคนต้องการเรียกร้องกันมากมายในเวลานี้ แต่หากได้ร่วมมือกันกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งร่วมกันเองภายในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่ได้ไปพักด้วยกันก็ถือว่าเป็นการสร้างทักษะสร้างความสามัคคีในการทำงานหรือกิจกรรมใดก็เพราะในชีวิตจริงคือการกระทำในสิ่งใดๆก็แล้วแต่นั้นคงจะไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าจะต้องทำเพียงคนเดียวทุกเรื่องเสมอไป หรืออาจจะขอกล่าวอ้างถึงหลักความคิดของนักจิตวิทยาว่า “ มนุษย์คือสัตว์สังคม ” จากการอธิบายมาพอสมควรเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจของการชมหิ่งห้อยในรูปแบบต่างๆสำหรับผู้ที่มีเวลาเพียงพอ ต่อไปก็จะขอกล่าวถึงสถานที่ชมหิ่งห้อยว่ามีที่ใดบ้างและนอกเหนือจาการชมหิ่งห้อยจะมีสิ่งใดบ้างที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกกับสถานที่ต่างๆเหล่านั้น และหากจะกล่าวถึงสถานที่ชมหิ่งห้อยที่เพียบพร้อมและถูกเอ่ยถึงมากที่สุดนั้นคงมิอาจปฏิเสธได้เลยหรือยอมรับเกือบร้อยเปอร์เซนต์ทีเดียวหรือแม้กระทั้งการตั้งคำถามที่แสนง่ายนี้ก็จะคงคิดและตอบเป็นคำเดียวกันเป็นอย่างแน่นอนนั่นก็คือ “ จังหวัดสมุทรสงคราม ” อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ผิดเพี้ยนเลยทีเดียว แต่หากเราได้กลับมาคิดว่าหากท่านผู้ที่ต้องการรับชมหิ่งห้อยอยู่ห่างไกลจากจังหวัดสมุทรสงครามหลายร้อยกิโลจะคุ้มหรือไม่ หรือคิดได้อีกว่าในเมืองไทยนี้มีเหลือแค่จังหวัดเดียวเหรอที่จะสามารถชมหิ่งห้อยเท่านั้นเองเหรอ คราวนี้ลองมาทำความเข้าใจกันว่ามีสถานที่ใดในประเทศไทยที่จะสามารถชมหิ่งห้อยบ้างพอสังเขปและแต่ละพื้นที่มีอะไรบ้างให้นอกเหนือจากการชมหิ่งห้อยได้ดังต่อไปนี้
จังหวัดสมุทรสงคราม
จากการที่ได้กล่าวข้างต้นว่า อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามคือสถานที่ชมหิ่งห้อยอันดับแรกของประเทศที่ทุกคนต่างต้องยอมรับว่าถูกกล่าวถึงมากที่สุด แต่จะไม่กล่าวถึงส่วนของหิ่งห้อยมากนัก แต่เรามารู้จักจังหวัดสมุทรสงครามกันก่อนว่าเป็นอย่างไร จังหวัดนี้เป็นจังหวัดเดียวที่มีอำเภอน้อยที่สุดในประเทศไทยซึ่งมีเพียงแค่ 3 อำเภอเท่านั้นคือ อำเภอเมือง อำเภออัมพวา อำเภอบางคณฑี โดยมีคำขวัญประจำจังหวัดคือ
เมืองหอยหลอด ยอดลิ้นจี่
มีอุทยาน ร.๒ แม่กลองไหลผ่าน
นมัสการหลวงพ่อบ้านแหลม
จากคำขวัญที่กล่าวมานั้นก็คงพอที่จะนึกภาพออกแล้วจังหวัดสมุทรสงครามนั้นมีที่ท่องเที่ยวที่ไหนอะไรบ้างตามคำขวัญได้เลยทีเดียวอย่างเช่น เมืองหอยหลอด หรือที่เรียกขานว่าดอนหอยหลอดนั้นเอง นั้นมีอยู่ที่ตำบลบางจะเกร็ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เนื่องจากดอนหอยหลอดมีหอยหลอดชุกชุมมาก และมีทัศนียภาพที่สวยงาม แปลก และมีเอกลักษณ์ ยามปกติเวลาน้ำขึ้นน้ำทะเลจะท่วม ดอนจะจมหายไปในน้ำไม่มีร่องรอยของดอนหอยหลอดอยู่เลยแต่พอน้ำลงจะปรากฏพื้นที่ดอนหอยหลอดค่อย ๆ โผล่ขึ้นทีละน้อย เป็นพื้นที่กล้างไกลหลายร้อยไร่ จึงทำให้ดอนหอยหลอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง สิ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว คือ หอยหลอด กล่าวกันว่าเป็นแหล่งที่มีหอยหลอดชุกชุมมากที่สุดแห่งเดียวในประเทศไทย หรือแห่งเดียวในโลก นักท่องเที่ยวนิยมลงไปจับหอยหลอดกันอย่างสนุกสนาน วิธีจับก็ใช้มือกดลงบนพื้นทราย จะปรากฏฟองอากาศ และเห็นรูปปรากฏเอาไม้จิ้มปูนขาวแหย่ลงไปหอยหลอดจะโผล่ขึ้นมาให้จับและต้องรีบเก็บใส่ภาชนะไว้มิฉะนั้นจะมุดดินหนีอยู่ลึกลงไปกว่าเดิมอีกดังภาพกิจกรรมที่นำแสดงให้เห็นถึงความสนุกเพลิดเพลินได้ดีอย่างดีทีเดียว
หรือคำว่ายอดลิ้นจี่พอบอกคำว่ายอดลิ้นจี่ทำไมไม่ใช่ภาคเหนือละทำไมต้องเป็นที่จังหวัดสมุทรสงคราม นั้นแหละคือสิ่งที่ต้องไปพิสูจน์ถึงรสชาติว่าอร่อยเพียงใดถึงกล้ามาตั้งเป็นคำขวัญของจังหวัดได้ หรือแม้กระทั้งตลาดหนีตายหนีตายอย่างไรในเมื่อเป็นแค่เพียงตลาดเท่านั้นหรือตลาดนี้เคยอยู่ในสมรภูมิสงคราม จนได้มีชื่อเรียกที่ขานว่า “ ตลาดหุบร่ม ” โดยที่นักท่องเที่ยวทุกท่านสามารถไปพิสูจน์และหนีตายร่วมกับผู้ค้าได้เลย โดยหากเพียงแค่ทุกท่านทราบถึงเวลาใกล้เคียงถึงการเดินทางมาพิสูจน์ก็จะทราบถึงเหตุผล โดยช่วงเวลาการพิสูจน์วันละ 8 รอบ (โดยประมาณ) ดังนี้ 06.20, 08.30, 09.00, 11.10, 11.30, 14.30, 15.30 และ 17.40 น.ในการไปร่วมกิจกรรมที่กล่าว
จากคำขวัญของจังหวัดก็พอจะนึกออกว่ามีอะไรบ้างเช่น ผลไม้รสล้ำ กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นทุเรียน เงาะ สัปปะรดสละ ลองกอง ฯลฯ โดยที่เมื่อท่านไปเที่ยวจังหวัดนี้สามารถชิมหรือซื้อกลับมาเป็นของฝาก แต่หากบางรายมีเวลาพอต้องการทราบว่าต้นเป็นอย่างไร วิธีการดู การเก็บเป็นอย่างไร ท่านก็สามารถที่จะเรียนรู้ถึงวีถีชาวสวนได้โดยไม่ยากเลยจนถึงกับว่าเดินไปกินไปภายในสวนผลไม้โดยที่ท่านจะเป็นผู้ร้องขอเองว่าพอแล้วเกรงใจ และอีกนัยนึงคือการได้เก็บเกี่ยวธรรมชาติ อากาศ และการสร้างกิจกรรมร่วมกันซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องการให้มีดังที่กล่าวมาข้างต้นดังภาพประกอบ
.jpg)
.jpg)
จากการที่ได้กล่าวถึงหลักการทางด้านวิชาการเชิงความรู้เกี่ยวกับเจ้าหิ่งห้อยมหัศจรรย์แล้วนั้น ก็จะทำให้ทุกท่านทราบถึงขั้นตอนการวางแผนก่อนการไปชมหรือแม้กระทั้งสิ่งที่นอกเหนือจากการชมเจ้าหิ่งห้อยเพียงอย่างเดียวที่ทางเรามุ้งเน้นให้ทรายว่ามีสิ่งอื่นอีกมากมายที่จะเก็บเกี่ยวต่อการเดินทางในแต่ละครั้งเพื่อก่อให้เกิดความคุ้มค่าในแต่ละจุดมุ่งหมายในการท่องเที่ยว เช่น การรับทราบข้อมมูลว่าแต่ละสถานที่ของแต่ละจังหวัดมีอะไรน่าสนใจบ้าง หรือ บางส่วนที่ใครต่อหลายคนไม่ทราบ หรืออาจแม้กระทั้งการสร้างกิจกรรมร่วมกันที่ทุกคนต่างเรียกร้องถึงความสามัคคี นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกิจกรรมร่วมกันได้ดีอย่างหนึ่ง โดยอาศัยธรรมชาติเป็นจุดเชื่อมต่อความสัมพันธ์และกิจกรรมร่วมกันได้อย่างดีทีเดียว เพราะธรรมชาติได้ให้ออกซิเจนที่บริสุทธ์ ความเขียวขจีของต้นไม้ ฯลฯ และเมื่อเกิดทักษะในการทำกิจกรรมร่วมกันแล้วเมื่อเจอสิ่งอื่นอีกเราก็จะไม่กลัวที่จะเข้าไปหาสิ่งนั้นอีก หากแต่จากที่กล่าวมานั้นหลายท่านอาจจะมีข้อสงสัยว่าทำไมถึงมีการแนะนำเพียงแค่ 2 จังหวัดเอง ก็ต้องยอมรับว่าสถานที่แนะนำไปนั้นเป็นสถานที่หลักจริง แต่ถ้าเกิดอยู่ส่วนอื่นหรือภาคอื่นที่ห่างไกลจะทำอย่างไรหากต้องการที่จะชมเจ้าหิ่งห้อยมหัศจรรย์ ทางเราก็จะขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมพอสังเขปได้อีกว่า หากท่านอยู่แถวกรุงเทพฯ ก็จะมีที่ ตลาดบางน้ำผึ้ง ตำบลบางน้ำผึ้ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็อยู่ที่ตำบลโพธิ์ทะเล แถวบริเวณปากอ่าวแม่น้ำบางปะกง หลังจากที่ทุกท่านได้เดินทางสักการหลวงพ่อโสธร และชม ปลาโลมาที่ว่ายน้ำเข้ามาที่ปากอ่าว ก็จะถึงเวลาพลบค่ำที่จะได้ชื่นชมกับเจ้าหิ่งห้อยเช่นกัน หรือแม้กระทั้งภาคใต้ ก็มีอยู่หลายแห่งแต่ที่หลักๆก็จะเป็นที่ คลองร้อยสาย จังหวัดสุราษฏร์ธานี แต่หากจะกล่าวไปแล้วนั้นถ้าได้ทำการสังเกตว่าจุดชมเจ้าหิ่งห้อยถึงทำไมต้องเป็นป่าชายเลนหรือพื้นที่ใกล้ทะเล ก็อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าเจ้าหิ่งห้อยก็คือ ตัวบ่งชี้ถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ดีมากน้อยเพียงไรและปัจจัยข้างเคียงอื่นๆอีกมากมายที่สำคัญคือน้ำ ดังนั้นป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์เท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ชมแมลงมหัศจรรย์ชนิดนี้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากแต่เพียงว่าทุกท่านได้ทราบและเข้าใจถึงวงจรชีวิตของเจ้าหิ่งห้อยก็ตัวนี้ก็สามารถที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างหรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กลับคืนมาสู่ชีวิตของเราดังเดิมได้อีกครั้งโดยไม่ยาก ซึ่งจากการที่หน่วยงานราชการ ทั้งทางภาครัฐและเอกชนได้พยายามอนุรักษ์ป่าชายเลนหลายจุดเพื่อเรียกเจ้าแมลงมหัศจรรย์นี้กลับมาเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างเม็ดเงินให้กับชุมชนท้องถิ่นได้ ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ธรรมชาติได้อย่างดียิ่งที่เดียว หรือแม้กระทั้งทางภาคเหนือ ได้มีได้มีการจัดทำโครงการในพระราชดำหริของ องค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ฯ ให้ทำการวิจัยเพื่อจะเพาะพันธุ์แล้วนำปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติให้ได้ในที่สุด ซึ่งจากการที่ได้กล่าวมาคงไม่เป็นเรื่องยากเลยที่จะร่วมมือร่วมใจกันรักษาสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์ป่าไม้ ธรรมชาติ เพื่อเรียกสิ่งดีๆเหล่านั้นกลับคืนมาโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปหาธรรมชาติแต่ธรรมชาตินั้นแหละจะเป็นผู้มาหาเราเอง จงอย่าคิดว่าไม่ใช่หน้าที่หรือมีคนรับผิดชอบอยุ่แล้วแต่ถ้าลองกลับมาคิดดูให้ดีในอัตตราส่วนของผู้ทำลาย ผู้สร้าง นักอนุรักษ์ หรือแม้กระทั่งผู้อยู่เฉย จะเลือกเป็นสิ่งอะไรแต่ถ้าหากทุกท่านต่างร่วมมือกันสร้างสิ่งที่ดีแล้วประโยชน์ทางธรรมชาติจะตอบแทนทุกท่านได้อย่างวิเศษที่สุด จึงใคร่ขอนำบทกลอนมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วจะเกิดความประทับใจกับ “ เจ้าหิ่งห้อยแมลงมหัศจรรย์ ”